"LaksiEstate"

ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์

อสังหาฯ ใกล้ตัว เข้าใจง่าย รู้มูลค่า และโอกาสของบ้านและที่ดิน

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน คนทำงาน หรือมีที่ดิน/บ้าน เราช่วยให้คุณเข้าใจมูลค่าและกฎหมายแบบภาษาคนธรรมดา

laksiestate.com

“ห้องสมุดความรู้ด้านอสังหาฯ เข้าใจง่ายสำหรับทุกคน”

รวบรวมบทความ เคสจริง และเกร็ดความรู้ ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้มั่นใจขึ้น

ซื้อบ้านก็แพง…ทำไมยังต้องใช้ถนนร่วมกับคนอื่น?
ซื้อบ้านก็แพง…ทำไมยังต้องใช้ถนนร่วมกับคนอื่น?
ซื้อบ้านก็แพง…ทำไมยังต้องใช้ถนนร่วมกับคนอื่น? จากกรณีลูกบ้านโครงการหรูย่านแฟชั่นที่ ตั้งนิติบุคคลไม่ได้ เพราะถนนหน้าโครงการเป็น “ภาระจำยอม/ทางใช้ร่วม” แถมยังมี            รถบรรทุกเข้า–ออก จนรู้สึกไม่ปลอดภัย—หลายคนอาจกำลังเผชิญเรื่องดังกล่าว จะเริ่มแก้ยังไง? และจะป้องกันไม่ให้ซ้ำรอยได้อย่างไร?” 1) สรุปปัญหาที่เกิดขึ้นกับโครงการหรู โครงการที่อยู่อาศัยย่านแฟชั่น ทางเข้า–ออกหลักของหมู่บ้านเป็น  -“ถนนติดภาระจำยอม” ใช้ร่วมกับส่วนอื่น โครงการบางช่วงเปลี่ยนมือ/แก้ผังจัดสรรในอดีต → สิทธิ–หน้าที่ต่อผู้ซื้อและโครงสร้างการใช้ทรัพย์สินส่วนกลางสืบทอดต่อ ลูกบ้านหลายรายระบุว่าเอกสารแนบท้าย/สื่อขายไม่ได้ระบุรายละเอียดถนนภาระจำยอมชัดเจน → เกิดข้อพิพาทเมื่อตั้งนิติบุคคล 2) “ภาระจำยอม” คืออะไร และทำไมกระทบการตั้งนิติบุคคล ภาระจำยอม: สิทธิให้ที่ดินหนึ่งใช้ประโยชน์ผ่านที่ดินอีกแปลง เช่น ถนนสาธารณูปโภคร่วม เมื่อถนนหลักติดภาระจำยอมร่วม ⇒ การบริหารและการตัดสินใจเรื่องถนนนั้นอาจต้องคำนึงถึงผู้มีสิทธิใช้ร่วมอีกฝ่าย ส่งผลให้ “นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร” แบบแยกอิสระ อาจไม่สามารถดูแล/กำหนดกติกาเฉพาะของตัวเองได้เต็มรูปแบบ 3) ข้อควรระวังไม่ให้เกิดปัญหา   เอกสารที่ต้อง “ขอดู” ให้ครบ ก่อนซื้อ/ก่อนโอน แผนผังจัดสรรที่ “อนุมัติล่าสุด” (ไม่ใช่ภาพในโบรชัวร์) รายการทรัพย์สินส่วนกลาง และสถานะกรรมสิทธิ์ (ถนน/สวน/คลับเฮาส์) สถานะถนน: เป็นของนิติบุคคลในอนาคต? ของเอกชน? หรือมี ภาระจำยอม กับที่ดินอื่น หนังสือ/เงื่อนไขการโอนสิทธิหน้าที่ (กรณีโครงการเปลี่ยนมือ) เอกสารแนบท้ายสัญญา ที่ใช้ในการเสนอขายจริง + เก็บหลักฐานโฆษณา ข้อกำหนดการตั้งนิติบุคคล: ตั้ง “แยก” ได้ไหม ต้องรวมกับส่วนอื่นหรือไม่ ทิป: ขอเอกสารเป็นสำเนา/สแกน พร้อมประทับตรา “ตรงตามฉบับจริง” และเก็บหลักฐานการรับ–ส่งเอกสารทุกครั้ง 7 คำถามสำคัญที่ต้องถามเซลส์/นิติ/ฝ่ายโครงการ โครงการนี้มีภาระจำยอมอะไรบ้าง โดยเฉพาะ “ถนนหลัก”? ถ้าตั้งนิติบุคคล จะตั้งเป็น “นิติบุคคลเดียวร่วมกัน” หรือ “แยกโครงการ” ได้? ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาถนน/ไฟถนน/กล้อง? สัดส่วนคิดอย่างไร? หากอีกโครงการ/ที่ดินร่วมใช้ถนน มีข้อตกลงการดูแลร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรหรือยัง? ถ้าตั้งแยกไม่ได้ มีแผนการรวม/จัดสรรค่าใช้จ่าย/แนวทางความปลอดภัยร่วมกันอย่างไร? เอกสารประชาสัมพันธ์ตรงกับแผนผัง/สัญญาจริงทุกข้อหรือไม่? เคยมีการแก้ไขแผนผัง/โอนสิทธิ–หน้าที่ในอดีตหรือไม่ (เมื่อไร/เปลี่ยนอะไร)?     4) “ซื้อแล้ว” เจอปัญหา ควรทำอะไรบ้าง ขั้นที่ 1: รวมหลักฐาน– สัญญาจะซื้อ–จะขาย/สัญญาขาย–โอน, เอกสารแนบท้าย, แผนผังอนุมัติล่าสุด, โบรชัวร์/สื่อโฆษณา, บันทึกการสื่อสาร ขั้นที่ 2: รวมกลุ่มลูกบ้านอย่างเป็นระบบ– นัดประชุม, ทำบันทึกมติ, แต่งตั้งคณะทำงาน/ตัวแทน, ตั้งช่องทางสื่อสารทางการ ขั้นที่ 3: ขอคำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง– ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอสังหาฯ/ผังเมือง/จัดสรรที่ดิน– ประสานหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแล (ตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วย) ขั้นที่ 4: หา “ทางออกที่เป็นไปได้”ทางเลือกทั่วไป เช่น ตั้งนิติบุคคลร่วม (หลายส่วนรวมกัน) พร้อมข้อตกลงแบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่าย/การดูแล ทำสัญญาใช้ทรัพย์สินส่วนกลางร่วมอย่างชัดเจน (Scope–มาตรฐาน–งบประมาณ–การเข้าถึง) กำหนดมาตรการความปลอดภัยร่วม (ด่าน รปภ.–CCTV–ทะเบียนรถ–เวลาเปิด–ปิด) ข้อดี/ข้อเสียแตกต่างตามโครงสร้างสิทธิเดิม ต้องพิจารณาเอกสารจริง   5) เช็กลิสต์ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านในโครงการจัดสรร แผนผังจัดสรร “ฉบับอนุมัติล่าสุด” รายการทรัพย์สินส่วนกลาง + สถานะกรรมสิทธิ์ สถานะถนน (เป็นของใคร/ภาระจำยอมไหม/สัญญาใช้ร่วม) เงื่อนไขตั้งนิติบุคคล (รวม/แยก) + ร่างข้อบังคับ ภาพรวมค่าใช้จ่ายส่วนกลางและสูตรจัดสรร หลักฐานโฆษณา/สื่อขายตรงกับเอกสารจริง   8) ข้อควรระวังทางกฎหมาย (แบบเข้าใจง่าย) เอกสาร “แนบท้ายสัญญา” สำคัญกว่าคำพูดในหน้าโครงการ/โบรชัวร์ การแก้ผัง/โอนสิทธิ–หน้าที่ระหว่างผู้พัฒนาหลายราย ทำให้โครงสร้างสิทธิซับซ้อน ก่อนเซ็น ควร “ตรวจเอกสารตัวจริง” ที่อนุมัติโดยหน่วยงานรัฐเสมอ    
ถนนหน้าบ้านถล่ม เรียกร้องอะไรได้บ้าง?
ถนนหน้าบ้านถล่ม เรียกร้องอะไรได้บ้าง?
📰 ถนนทรุดหน้า รพ.วชิรพยาบาล: ใครรับผิดชอบ และผลกระทบต่ออสังหาฯ   จากเหตุการณ์ ถนนทรุดตัว บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เป็นหลุมขนาดใหญ่ กว้างกว่า 30 เมตร และลึกกว่า 50 เมตร ส่งผลกระทบทั้งด้านความปลอดภัย การสัญจร และสร้างความกังวลให้กับผู้อยู่อาศัยบริเวณดังกล่าว Laksi Estate ขอสรุปประเด็นสำคัญๆ  จากทุกสำนักข่าว เพื่อให้เข้าใจทั้ง สิทธิของผู้ได้รับผลกระทบ, โครงสร้างใต้ดิน, และผลต่อราคาที่ดินในอนาคต 1. ใครต้องรับผิดชอบ? โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (ส่วนใต้ดิน) ถูกสั่งหยุดงานชั่วคราวหลังพบว่า ดินไหลเข้าสู่อุโมงค์และรอยต่อสถานี เป็นสาเหตุหนึ่ง กทม., กรมโยธาฯ และรฟม. ต้องร่วมตรวจสอบความเสียหายและวางมาตรการป้องกัน นายกรัฐมนตรีสั่งการชัดเจนว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบค่าเสียหายและชดเชย   2. ผู้อยู่อาศัยเรียกร้องอะไรได้บ้าง? ชดเชยความเสียหาย – บ้าน, รถยนต์, อาคารที่ได้รับผลกระทบสามารถยื่นคำร้องขอค่าเสียหาย การตรวจสอบความปลอดภัย – เรียกร้องให้ตรวจสอบชั้นดิน, ท่อสาธารณูปโภค, และฐานรากอาคาร สิทธิตามกฎหมาย – หากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากความบกพร่องในการก่อสร้าง → ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ การดูแลชั่วคราว – ขอที่พักชั่วคราวหรือค่าชดเชยการโยกย้าย หากบ้านอยู่อาศัยไม่ได้   3. ผลกระทบในอนาคต ความเสี่ยงเกิดซ้ำ – หากไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เช่น น้ำรั่วซึม, ช่องว่างใต้ดิน, รอยต่อโครงสร้าง ความไม่มั่นใจของคนในพื้นที่ – แม้ซ่อมแล้ว แต่ความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” จะยังอยู่ ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น – ทั้งเบี้ยประกันบ้าน และค่าตรวจสอบ/ซ่อมแซมของเจ้าของที่ดิน การพัฒนาโครงการใหม่ชะลอ – นักลงทุนอาจเลื่อนเปิดโครงการในย่านนี้   4. โครงสร้างใต้พื้นดิน: จุดอ่อนที่ต้องเฝ้าระวัง รอยต่อระหว่าง อุโมงค์รถไฟฟ้า–สถานี เป็นจุดที่ดินสามารถไหลเข้าได้ ระบบท่อประปา/ระบายน้ำหากรั่วซึม → ดินถูกชะล้างจนทรุด เสาเข็มและฐานรากของอาคารใกล้เคียงอาจเสียหาย → ต้องมีการตรวจสอบซ้ำ   5. แนวโน้มราคาที่ดินและอสังหาฯ บริเวณนั้น ระยะสั้น (0–12 เดือน): ราคาที่ดิน–คอนโดใกล้เคียงอาจ ชะลอตัว เพราะความไม่มั่นใจ ระยะกลาง (1–3 ปี): ถ้ารัฐแก้ไขปัญหาถาวรและรับรองความปลอดภัย → ความเชื่อมั่นฟื้น ราคาค่อย ๆ ดีดกลับ ระยะยาว (3–5 ปีขึ้นไป): ทำเลเมือง–ใกล้โรงพยาบาล–รถไฟฟ้า ยังมีมูลค่า แต่ภาพลักษณ์ “พื้นที่เคยทรุด” อาจกดให้ราคาต่ำกว่าพื้นที่รอบนอกเล็กน้อย  
มั่นใจแค่ไหนก่อนการลงทุนอสังหาฯ?
มั่นใจแค่ไหนก่อนการลงทุนอสังหาฯ?
การลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คือการลงทุนในความรู้ วิเคราะห์ทำเล และปรึกษาผู้มีประสบการณ์ ก่อนใช้ที่ดินให้คุ้มค่าที่สุด คงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะมีคนคิดว่าการลงทุนอสังหาฯ คือการเอาเงินไป “ลง” บนที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง แล้วรอให้มันงอกเงยเป็นกำไร แต่จริง ๆ แล้ว ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด ของการลงทุน ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่คือการ “ลงทุนโดยไม่มีความรู้ และไม่มีข้อมูล” ต่างหาก ยกตัวอย่างกรณีลูกค้าท่านหนึ่ง  🏡 มีลูกค้าท่านหนึ่งทักมาหา Laksi ด้วยความกังวล ลูกค้า :  Laksi ช่วยเราหน่อย เราเพิ่มรู้ว่าที่บ้านมีที่ดินเปล่าประมาณ  200 ตารางวา อยู่ใกล้ศูนย์ราชการ ทำเลที่คนพลุกพล่าน รถเข้าออกทั้งวัน ฟังดูแล้วทุกอย่างจะดีใช่ไหมแต่เปล่าเลย ปัญหาคือ … พี่น้องในบ้านแต่ละคนมีความเห็นไม่ตรงกันว่าจะเอาที่ดินไปทำอะไรดี” พี่คนโต ไม่อยากวุ่นวาย เสนอว่า → “ทำลานจอดรถสิ ลงทุนไม่เยอะ รายได้สม่ำเสมอ” 🚗 น้องคนรอง มองไกลกว่า เสนอว่า → “สร้างอพาร์ตเมนต์สิ ผลตอบแทนดีกว่าในระยะยาว” 🏢 น้องคนเล็ก อยากได้อะไรสนุก ๆ → “ทำตลาดนัดหรือคอมมูนิตี้มาร์เก็ตสิ ร้านค้าเยอะ คนเดินเพียบ” 🛍️  Laksi  ขอแนะนำคุณลูกค้าเพื่อเพื่มความมั่นใจในการตัดสินใจแบบนี้นะคะ 🚗 ทางเลือกแรก: ลานจอดรถ ลงทุนไม่เยอะ ความเสี่ยงต่ำ ต้นทุนไม่สูง : ปรับหน้าดิน เทปูนหรือโรยหิน ทำรั้วกั้น รายได้สม่ำเสมอ : เก็บค่าจอดรายเดือนจากพนักงานออฟฟิศ หรือรายวันจากผู้มาติดต่อ ความเสี่ยงต่ำ : รถยังมีทุกวัน ความต้องการไม่หายไปไหน 📊 ตัวอย่างคำนวณ: ที่ดิน 200 ตร.วา → จอดได้ 35–40 คัน ค่าจอดรายเดือน 2,000 บาท/คัน → รายได้ 70,000–80,000 บาท/เดือน ถ้าเปิดให้จอดรายวันด้วย → รายได้อาจเพิ่มอีก 20–30% ถือว่าเป็น ทางเลือกง่าย ๆ ที่ทำได้จริง แต่คำถามคือ… นี่ใช่ผลตอบแทนสูงสุดแล้วหรือยัง? 📊 อีกหนึ่งทางเลือก: ตลาดนัด / Community Marketถ้าอยากให้ที่ดินมี “ชีวิตชีวา” มากกว่าการเป็นที่จอดรถ ตลาดนัด ก็เป็นโมเดลที่น่าสนใจ ต้นทุนกลาง ๆ : ปรับพื้นที่ ทำหลังคาเบา ๆ จัดระบบไฟฟ้า–น้ำ รายได้หลายทาง : ค่าเช่าแผง 200–500 บาท/วัน ถ้ามี 50 แผง → รายได้หลักแสน/เดือน เพิ่มมูลค่าพื้นที่ : คนเข้าออกเยอะ ทำเลถูกจดจำ ที่ดินมีโอกาสปรับราคาขึ้น 🎯 แต่ตลาดนัดไม่ได้สำเร็จแค่การ “ตั้งแผง”ต้องรู้วิธีจัดผังพื้นที่, ทำการตลาดดึงร้านค้า, และสร้างบรรยากาศให้ลูกค้ากลับมาเรื่อย ๆเพราะถ้าบริหารดี → ตลาดจะไม่ใช่แค่สร้างรายได้ แต่ยังกลายเป็น ศูนย์กลางของชุมชน👉 และสำหรับคนที่สนใจจริงจัง Laksi Estate มี หลักสูตร “ตลาดนัดทำเงิน” ที่สอนตั้งแต่การวิเคราะห์ทำเล, การจัดพื้นที่, ไปจนถึงการคำนวณรายได้–ค่าใช้จ่าย เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าตลาดที่สร้างขึ้นจะ ยืนได้จริงและทำกำไรได้จริง 🔎 แล้วถ้าอยากได้ผลตอบแทนที่ “คุ้มที่สุด”? นี่คือจุดที่ การทำวิจัยอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Research & Feasibility Study) สำคัญที่สุด เพราะที่ดินแถวศูนย์ราชการมีศักยภาพสูง ถ้าเลือกใช้ผิด อาจเสียโอกาสไปหลายสิบล้านการวิจัยอสังหาฯ ช่วยอะไรบ้าง? เช็ก Demand & Supply → ตลาดต้องการอะไรจริง ๆ: คอนโด, อพาร์ตเมนต์, สำนักงาน, หรือพื้นที่เชิงพาณิชย์? วิเคราะห์ข้อกฎหมาย → สร้างอะไรได้? สูงสุดกี่ชั้น? ต้องเว้นระยะร่นแค่ไหน? คำนวณผลตอบแทน (ROI) → เปรียบเทียบว่าลานจอดรถได้ 4–6% แต่ถ้าเป็นอพาร์ตเมนต์อาจได้ 8–12% หรือสำนักงานให้เช่าอาจมากกว่านั้น 📈 บทสรุป ถ้าอยากลงทุนเล็ก ๆ เสี่ยงน้อย → ลานจอดรถ คือจุดเริ่มต้น ถ้าอยากให้ที่ดินมีชีวิตชีวา รายได้หลายทาง → ตลาดนัด/Community Market คืออีกหนึ่งทางเลือก แต่ถ้าอยากให้ที่ดินผืนนี้สร้าง มูลค่าเพิ่มสูงสุด → ต้องเริ่มจาก การลงทุนในความรู้ และปรึกษาผู้มีประสบการณ์ ก่อนเสมอ เพราะการลงทุนที่มั่นคง ไม่ได้เริ่มจากเงิน … แต่มาจาก ข้อมูล + ความรู้ + คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ 👉 อยากรู้ว่าที่ดินของคุณควรพัฒนาอะไรถึงจะคุ้มที่สุด?Laksi Estate พร้อมเป็นที่ปรึกษา ช่วยคุณวิเคราะห์ทำเล วิจัยตลาด และออกแบบการลงทุนที่เหมาะสม 📩 สนใจหลักสูตร “ตลาดนัดทำเงิน”? ดูรายละเอียดที่นี่
ดราม่าหุ้น “fleen” ระหว่าง ออม สุชาร์ และหุ้นส่วน
ดราม่าหุ้น “fleen” ระหว่าง ออม สุชาร์ และหุ้นส่วน
ทำไมออมต้องซื้อหุ้นคืน? เจาะลึก “มูลค่ากิจการ” vs “มูลค่าตัวบุคคล” ที่อาจแพงกว่าครึ่งบริษัท! 🔎 ดราม่าธุรกิจเครื่องสำอาง “fleen” ของ ออม สุชาร์ และหุ้นส่วน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องร้อนในวงการบันเทิง แต่สะท้อนถึงความจริงของโลกธุรกิจ ว่า “มูลค่ากิจการ” ไม่ได้มีแค่ตัวเลขกำไรหรือยอดขายเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “มูลค่าแบรนด์ส่วนบุคคล” (Personal Brand Value) (เพราะถ้าเจ้าของแบรนด์ที่เป็น “หัวใจ” ถอนตัวออกไป → มูลค่ากิจการอาจหายไปครึ่งหนึ่งในชั่วข้ามคืน) 💰 ตัวเลขที่ต้องรู้: มูลค่ากิจการ (Business Valuation) จากข้อมูลข่าว: รายได้สะสมของบริษัท fleen: 46.9 ล้านบาท กำไรสุทธิปี 2567: 6 ล้านบาท ออมซื้อหุ้น 4% จากศสา: 2.5 ล้านบาท การประเมินด้วยวิธี P/E (Price-to-Earnings Ratio) กำไร 6 ล้าน × P/E 10 = มูลค่ากิจการ ~ 60 ล้าน กำไร 6 ล้าน × P/E 15 = มูลค่ากิจการ ~ 90 ล้าน 👉 หุ้น 4% จะมีมูลค่า 2.4 – 3.6 ล้าน👉 ราคาที่ออมจ่าย 2.5 ล้าน = ถือว่ายุติธรรม / ไม่ถูกไม่แพงเกินไป การประเมินด้วยวิธี Sales Multiple ยอดขาย 46.9 ล้าน × 1.5 เท่า ≈ 70 ล้าน หุ้น 4% = ~ 2.8 ล้าน 👉 ยิ่งยืนยันว่าราคาที่จ่ายใกล้เคียงกับการประเมิน 🌟 สิ่งที่เงินประเมินไม่ได้: มูลค่าในตัวบุคคล (Personal Brand Value) สิ่งที่น่าสนใจคือ fleen ไม่ได้ขายแค่เครื่องสำอาง แต่ขาย “ความน่าเชื่อถือที่ผูกกับออม สุชาร์” ชื่อเสียงและฐานแฟนคลับ ออมเป็นนักแสดงที่มีแฟนทั้งไทยและต่างประเทศ ทำให้แบรนด์มีฐานผู้ติดตามทันทีโดยไม่ต้องลงทุนการตลาดมหาศาล ต้นทุนการตลาดต่ำกว่าคู่แข่ง ปกติธุรกิจใหม่ต้องจ่าย Influencer / พรีเซ็นเตอร์ แต่ fleen ได้ “ออม” เป็นพรีเซ็นเตอร์โดยธรรมชาติ Trust Capital: ความน่าเชื่อถือ คนเชื่อใจออม → เชื่อในคุณภาพสินค้า ถ้าออมถอนตัว แบรนด์อาจสูญเสียความเชื่อมั่นทันที Emotional Value สำหรับออม แบรนด์นี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่คือ “ความฝัน” การซื้อหุ้นคืน = การรักษาภาพลักษณ์และความฝันของตัวเอง ⚖️ ทำไมออมต้องซื้อหุ้นคืน? เพื่อ ควบคุมทิศทางธุรกิจ ไม่ให้ถูกลากไปตามใจหุ้นส่วน เพื่อ รักษาแบรนด์ fleen ที่เธอสร้างชื่อเสียงผูกไว้กับตัวเอง เพราะรู้ว่า ถ้าเธอถอนตัว มูลค่ากิจการอาจหายครึ่งหนึ่งทันที การซื้อหุ้นคืน = การลงทุนใน “คุณค่าของชื่อเสียง” ❌ แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงอยากถอนตัว/ปิดบริษัท? ตัดปัญหาความขัดแย้ง → อยู่ต่อก็ไม่สบายใจ ได้เงินสดทันที (2.5 ล้าน) ดีกว่ารออนาคตไม่แน่นอน โฟกัสธุรกิจใหม่ (เช่น RAD/RAD2) ที่ควบคุมเองได้เต็มที่ มองว่าความเสี่ยงมากกว่าผลตอบแทน อีกฝ่ายได้กลับไป 📚 บทเรียนธุรกิจจากเคสนี้ มูลค่ากิจการ ≠ แค่กำไร ต้องรวมถึงแบรนด์ บุคคล และความเชื่อมั่นที่สร้างขึ้น Personal Brand มีค่ามหาศาล โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของแบรนด์คือคนดัง สัญญาหุ้นและข้อตกลงต้องชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาหุ้นส่วน/ธุรกิจซ้อน การซื้อหุ้นคืนบางครั้งไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนทางการเงินทันที แต่เพื่อรักษาอำนาจควบคุมและภาพลักษณ์ ✅ สรุป เคส “ออม สุชาร์ – fleen” เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า หุ้น 4% ราคา 2.5 ล้าน อาจดูเป็นดีลเล็ก ๆ แต่ซ่อนมูลค่าที่มากกว่าตัวเลข เพราะ Personal Brand Value ของออม คือสินทรัพย์หลักของบริษัท หากเธอถอนตัว มูลค่ากิจการอาจหายไปครึ่งหนึ่งในทันที 👉 สำหรับผู้ประกอบการ กรณีนี้คือบทเรียนว่า การประเมินมูลค่าธุรกิจ ต้องนับทั้งตัวเลข และ “คน” ที่เป็นหัวใจของแบรนด์   ความคิดเห็นส่วนตัวฝั่งพริม : 1. มีความสามารถการสร้างผลิตภัณฑ์ > ด้วยประสบการณ์เคยทำธุรกิจมาก่อน มีโรงงาน/แหล่งผลิตที่รู้จัก และทีมงานของตัวเอง 2. ไม่จำเป็นต้องพึ่ง fleen > เมื่อกลับไปทำบริษัทเดิมได้ ที่มีการสร้างวางแผนงานไว้ก่อนแล้ว 3. พริมขาดคือ “ชื่อเสียง” > ทำผลิตภัณฑ์ได้ แต่ไม่มี Personal Brand ที่จะดึงดูดตลาดในวงกว้างฝั่งออม : 1. ไม่มีประสบการณ์ เรื่องการผลิตเท่าพริม และทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ 2. ออมมี “ชื่อเสียงและฐานแฟนคลับ” → Personal Brand ที่ทำให้คนเชื่อมั่นและซื้อสินค้า
ก่อนลงทุนอสังหาฯ... ตรวจสอบ “ผังเมือง” แล้วหรือยัง?
ก่อนลงทุนอสังหาฯ... ตรวจสอบ “ผังเมือง” แล้วหรือยัง?
📚 กับดักกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ ที่นักพัฒนาอสังหาฯ ต้องรู้ รวมเคสข้อผิดพลาดกฎหมายอสังหาฯ ที่ไม่ควรมองข้าม ตอนที่ 1: ก่อนลงทุนอสังหาฯ... คุณได้ตรวจสอบ “ผังเมือง” แล้วหรือยัง? การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพียงแค่การมองหาทำเลที่ดี หรือมีเงินลงทุนมากพอ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความถูกต้องตามกฎหมาย” โดยเฉพาะ กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ที่จะเป็นตัวกำหนดว่า “ที่ดินผืนนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง” หากมองข้าม อาจทำให้โครงการทั้งโครงการต้องหยุดชะงัก ผังเมืองคืออะไร?“ผังเมืองรวม” ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 (แก้ไขเพิ่มเติม) เป็นแผนที่และข้อกำหนดที่ใช้ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละพื้นที่ โดยจะแบ่งเป็นสีต่าง ๆ เช่น พื้นที่สีเหลือง: ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย พื้นที่สีน้ำตาล: ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก พื้นที่สีม่วง: อุตสาหกรรม พื้นที่สีเขียว: เกษตรกรรม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ละสีจะมี ข้อกำหนดเฉพาะ ว่าอนุญาตหรือห้ามทำกิจกรรมใด เช่น จะสร้างอาคารสูงได้หรือไม่ จะทำโรงงานได้หรือไม่ กรณีศึกษา: ฝันสลาย เมื่อ "คอนโดหรู" กลายเป็น "พื้นที่เกษตรกรรม"บริษัทพัฒนาอสังหาฯ แห่งหนึ่ง ได้เข้าซื้อที่ดินกว่า 10 ไร่ ในทำเลที่หลายคนมองว่าเป็น “ไข่แดง” ใกล้ระบบขนส่งมวลชนและย่านชุมชนขนาดใหญ่ ผู้บริหารมั่นใจเต็มที่ว่าจะพัฒนาเป็น คอนโดมิเนียมหรูสูง 30 ชั้น ที่สามารถทำกำไรได้มหาศาลข้อมูลที่บริษัทได้รับจากผู้ขายก็คือ “ผังเมืองใหม่กำลังจะประกาศใช้” และเมื่อประกาศแล้วจะสามารถสร้างอาคารสูงได้ทันที ด้วยความเร่งรีบและกลัวพลาดโอกาส บริษัทจึงตัดสินใจซื้อโดย ไม่ตรวจสอบกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองอย่างเป็นทางการ เลือกที่จะเชื่อคำพูดและข่าวลือแทนแต่ความจริงกลับตรงกันข้าม…เมื่อยื่นขออนุญาตก่อสร้าง กลับพบว่า ที่ดินดังกล่าวยังอยู่ในเขต พื้นที่สีเขียว (เกษตรกรรม) ตามผังเมืองรวม ฉบับเดิมที่มีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งกฎหมายห้ามก่อสร้างอาคารสูงประเภทดังกล่าวโดยเด็ดขาดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โครงการหยุดชะงักเงินลงทุนหลายร้อยล้านติดอยู่กับโครงการก่อสร้างที่ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ บทลงโทษทางกฎหมายบริษัทถูกสั่งระงับการก่อสร้าง และต้องเสียค่าปรับมหาศาลตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือข่าวลือแพร่กระจาย นักลงทุนและคู่ค้าเกิดความไม่มั่นใจ บริษัทเสียเครดิตที่สะสมมานาน วิเคราะห์เชิงกฎหมาย กฎหมายที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518: ผังเมืองรวมที่ประกาศใช้แล้วถือว่ามีผลบังคับเป็นกฎหมาย พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522: การออกใบอนุญาตก่อสร้างต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดในผังเมือง หากฝ่าฝืน อาจถูกสั่งระงับหรือรื้อถอน จุดที่ผิดพลาด เชื่อคำบอกเล่าและข่าวลือ แทนที่จะตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานรัฐโดยตรง ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่ผังเมืองใหม่ “อาจยังไม่ประกาศใช้” บทเรียนที่ได้ การตัดสินใจลงทุนที่ดินต้องอาศัย “เอกสารจริง” ไม่ใช่แค่คำพูด ผังเมืองเป็นกฎหมายที่มีผลผูกพัน หากไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน ความเสียหายที่ตามมาอาจเกินกว่าจะรับไหว ข้อแนะนำสำหรับนักพัฒนาที่ดิน ตรวจสอบผังเมืองอย่างเป็นทางการ ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง หรือสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดทุกครั้งก่อนซื้อ อย่าเร่งรีบเชื่อข่าวลือ เกี่ยวกับการแก้ไขผังเมือง เพราะร่างใหม่อาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะประกาศ วางแผนทางเลือก หากผังเมืองใหม่ยังไม่บังคับใช้ เช่น พัฒนาโครงการที่สอดคล้องกับข้อกำหนดปัจจุบัน ว่าจ้างที่ปรึกษา: ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่นการประเมินเพื่อเช็คข้อกฏหมาย สำรวจความเป็นไปได้ของการทำโครงการ เป็นต้น ✅ บทสรุป ข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในการตรวจสอบกฎหมาย สามารถทำให้โครงการมูลค่าหลายร้อยล้านบาทต้องหยุดชะงัก กรณีนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญว่า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มิได้วัดกันที่ใครซื้อที่ดินได้ก่อน แต่เป็นเรื่องของการซื้อที่ดินอย่างถูกต้องและรอบคอบที่สุด 🏁 สรุป:🔔 สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม? ติดตามบทความดีๆ ด้านอสังหาริมทรัพย์แบบเข้าใจง่าย พร้อมเทคนิคจริงจากผู้พัฒนาโครงการได้ที่ Laksi Estate – ศูนย์รวมความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนรุ่นใหม่ ในตอนหน้า เราจะมาเจาะลึกถึงปัญหาที่ดินตาบอด ที่ทำให้ขายบ้านไม่ได้! โปรดติดตาม... สอบถามเพิ่มเติมหรือต้องการปรึกษาด้านข้อกฏหมายอสังหา ทีมงาน Laksi Estate พร้อมให้คำแนะนำแบบเข้าใจง่าย  📱 โทรศัพท์: 082-2649929 💬 LINE: @laksiestate 📧 อีเมล: [email protected]  💬 แอดไลน์เพื่อสอบถามเพิ่มเติม  
ที่ดินใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง: โอกาสที่หลายคนมองข้าม
ที่ดินใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง: โอกาสที่หลายคนมองข้าม
  ⚡ ที่ดินบริเวณแนวเสาไฟฟ้าแรงสูง: จากที่ดินด้อยค่าสู่โอกาสทอง วิเคราะห์โอกาสลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ กับที่ดินที่หลายคนมองข้าม “ที่ดินด้อยค่า” ที่นักลงทุนมองข้ามเพราะกังวลเรื่องสุขภาพ กฎหมาย และภาพลักษณ์ แต่หากวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ที่ดินนี้อาจซ่อนศักยภาพที่สามารถต่อยอดและเพิ่มมูลค่าได้ไม่น้อย 💡 กลยุทธ์เพิ่มมูลค่ากับที่ดินบริเวณแนวเสาไฟฟ้าแรงสูง ปรับพื้นที่ให้สะอาด ใช้งานง่าย เช่น ตัดหญ้า ปรับหน้าดิน จัดทางเข้าออก สื่อสารอย่างโปร่งใส พร้อมข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับ EMF เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น SME, CSR, Startup หรือกลุ่มพลังงาน นำเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ไม่ขัดกับกฎหมาย แนวทางใช้ประโยชน์จากที่ดินใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง: 1. เกษตรกรรมเชิงพาณิชย์: ปลูกพืชผักปลอดสารพิษ, ให้เช่าพื้นที่เกษตร 2. ธุรกิจพาณิชย์เบา: คลังเก็บสินค้า, ที่จอดรถ, สนามฝึกขับรถ 3. พลังงานสะอาด: โซลาร์ฟาร์ม, ลานติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ 4. กิจกรรมกลางแจ้ง: ค่ายอบรม, สนามเด็กเล่น, สวนชุมชน ⚠️ ความเสี่ยงและข้อจำกัดที่ควรระวัง 1. EMF: บางการศึกษาชี้ว่ามีความเสี่ยง แต่ WHO ระบุว่าในระยะ 30–50 เมตร ถือว่าปลอดภัย 2. ข้อจำกัดกฎหมาย: ห้ามปลูกสร้างถาวรใต้แนวสายไฟ ต้องเว้นระยะ 3. ความเสี่ยงไฟฟ้า: เช่น ฟ้าผ่า, สายไฟขาด 4. มูลค่าตลาด: ราคาต่ำกว่าทั่วไป ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยมักหลีกเลี่ยง 🏁 สรุป: ลงทุนหรือไม่? หากเข้าใจและรับมือกับข้อจำกัดได้ ที่ดินใกล้เสาไฟแรงสูงอาจไม่ใช่ “ที่ดินขายไว” แต่เป็น “โอกาสทอง” สำหรับนักวางกลยุทธ์ที่มองเห็นคุณค่าแฝงอย่างแท้จริง 🔔 สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม? ติดตามบทความดีๆ ด้านอสังหาริมทรัพย์แบบเข้าใจง่าย พร้อมเทคนิคจริงจากผู้พัฒนาโครงการได้ที่ Laksi Estate – ศูนย์รวมความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนรุ่นใหม่ 📞 สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการคำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์? ทีมงาน Laksi Estate พร้อมให้คำแนะนำแบบเข้าใจง่าย ทั้งนักลงทุนมือใหม่และมือโปร! 📱 โทรศัพท์: 082-2649929 💬 LINE: @laksiestate 📧 อีเมล: [email protected]  💬 แอดไลน์เพื่อสอบถามเพิ่มเติม  
"สงสัยไหม? ทำไมที่ดินสองแปลงที่อยู่ติดกัน ราคากลับต่างกันแบบ “ฟ้ากับเหว”? "
"สงสัยไหม? ทำไมที่ดินสองแปลงที่อยู่ติดกัน ราคากลับต่างกันแบบ “ฟ้ากับเหว”? "
  🏡 ที่ดิน 2 แปลงใกล้กัน ทำไมราคาต่างกันลิบลับ ไขข้อข้องใจก่อนตัดสินใจซื้อ! คุณเคยไหม? เจอประกาศขายที่ดินสองแปลงที่อยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว แต่ราคาต่างกันราวกับอยู่คนละจังหวัด! ไม่ต้องแปลกใจครับ นี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่มีปัจจัยซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย การเข้าใจ "ความลับ" เหล่านี้จะช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างชาญฉลาด ไม่พลาดโอกาสทอง และไม่ตกเป็นเหยื่อ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกสาเหตุที่ทำให้ที่ดินใกล้กันมีราคาไม่เท่ากัน พร้อมเผยเคล็ดลับที่ทำให้คุณได้เปรียบในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 📌 1. "หน้าตา" ที่ดินแต่ละแปลงก็มี "DNA" เฉพาะตัวที่ส่งผลต่อราคาโดยตรง: ทรงสวยได้เปรียบ: ที่ดินรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สวยงาม (หรือที่เรียกว่า "แปลงที่ดินสวย") มักมีราคาสูงกว่าที่ดินรูปทรงแปลกๆ เว้าแหว่ง หรือหน้าแคบ-หลังบาน เพราะง่ายต่อการออกแบบก่อสร้างและใช้ประโยชน์ได้เต็มพื้นที่ สภาพพื้นดิน: ที่ดินที่เป็นที่ลุ่มต่ำ ต้องถมดินเป็นเมตรๆ เทียบกับที่ดินที่สูงเสมอถนนพร้อมใช้งานได้ทันที...แน่นอนว่าแปลงหลังย่อมมีราคาสูงกว่า เพราะช่วยประหยัด "ต้นทุนแฝง" ค่าถมดินมหาศาล ผังเมือง: นี่คือปัจจัยสำคัญที่หลายคนมองข้าม! ที่ดินแปลงหนึ่งอาจอยู่ใน "ผังสีแดง" (พาณิชยกรรม) ที่สร้างอาคารสูงได้ แต่อีกแปลงที่อยู่ถัดไปไม่กี่เมตรกลับอยู่ใน "ผังสีเหลือง" (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) ที่สร้างได้แค่บ้านเดี่ยวสูงสุด 2 ชั้น ศักยภาพการพัฒนาที่ต่างกันมหาศาลนี้ ส่งผลให้ราคาต่างกันลิบลับ 🚗 2. "สะดวกแค่ไหน" คือหัวใจ หน้ากว้างติดถนนคือทอง: ที่ดินที่ติดถนนสาธารณะ (โดยเฉพาะถนนสายหลัก) และมี "หน้ากว้าง" เพียงพอ มักมีราคาสูงลิ่ว เพราะเข้า-ออกง่าย ขนส่งสะดวก เหมาะกับการค้าขายหรือพัฒนาโครงการ เส้นทางชีวิตไม่ติดขัด:ไม่มีภาระจำยอม: ที่ดินที่สามารถเข้าถึงได้สะดวก ไม่ต้องผ่านที่ดินคนอื่น (ที่ดินตาบอด) หรือไม่ต้องมี "ภาระจำยอม" (สิทธิในการใช้ทางของคนอื่น) ย่อมมีมูลค่าสูงกว่า เพราะหมดปัญหาจุกจิกเรื่องการเข้า-ออกในอนาคต ระบบสาธารณูปโภคพร้อม: การมีไฟฟ้า ประปา ท่อระบายน้ำ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ทันที ไม่ต้องลากสายยาวๆ หรือเดินท่อเอง ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าที่ดินอย่างมาก เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเตรียมการพัฒนา 📜 3. สถานะทางกฎหมาย" ที่ต้องรู้:                                                                                                         เอกสารสิทธิ์และข้อจำกัดเอกสารสิทธิ์คือหัวใจของการซื้อขายอสังหาฯ และนี่คือสิ่งที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด! โฉนด: คือเอกสารสิทธิ์ที่สมบูรณ์ที่สุด ซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงมีราคาสูงสุดเสมอ เทียบกับเอกสารสิทธิ์ประเภทอื่นที่มีข้อจำกัด หรือยังไม่ได้กรรมสิทธิ์เต็มรูปแบบ เช่น น.ส. 3 ก. หรือ ส.ค. 1 ซึ่งจะมีราคาต่ำกว่ามากและมีความเสี่ยงสูงกว่า ที่ดินมีเจ้าของ (ร่วม) หรือติดอะไรไหม?: ที่ดินที่มี "ภาระผูกพัน" เช่น ติดจำนอง, ติดภาระจำยอม, มีคดีความ หรือมีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ มักจะถูกเสนอขายในราคาที่ถูกเป็นพิเศษ เพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อยอมรับความเสี่ยงและภาระในการจัดการปัญหาเหล่านั้น ข้อจำกัดเขตพื้นที่: สร้างอะไรก็ได้จริงเหรอ?: แม้จะเป็นที่ดินเปล่า แต่บางแปลงอาจมี "ข้อจำกัดการก่อสร้าง" เช่น อยู่ใกล้โบราณสถาน, อยู่ในเขตป่าไม้, หรือมีแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน ซึ่งอาจทำให้คุณไม่สามารถสร้างอาคารบางประเภท หรือมีความสูงตามที่คุณต้องการได้ 🌆 4. "อนาคต" ที่คาดไม่ถึง: ศักยภาพในการพัฒนาและแนวโน้ม โครงการรัฐ: ถนน-รถไฟฟ้าช่วยดันมูลค่า ขยายเมือง: โซนใหม่กำลังมา นักลงทุนจับจอง: ราคาขึ้นล่วงหน้า ✅ สรุป:อย่าเชื่อแค่ตาเห็น – "ที่ดินใกล้กัน" ไม่ได้แปลว่า "เหมือนกัน" การที่ที่ดินสองแปลงอยู่ใกล้กันแต่มีราคาต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลรวมจากปัจจัยที่ซับซ้อนและหลากหลาย การเป็นนักลงทุนหรือผู้ซื้อที่ดินที่ชาญฉลาด คุณต้องมองให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่แค่ "ทำเล" ที่ใกล้เคียง แต่ต้องศึกษา ข้อมูลเชิงลึกของที่ดินแต่ละแปลงอย่างละเอียดรอบด้าน ทั้งลักษณะกายภาพ, การเข้าถึง, สาธารณูปโภค, ข้อจำกัดทางกฎหมาย และที่สำคัญคือ "ศักยภาพในอนาคต" เพื่อให้คุณได้ที่ดินที่คุ้มค่า ตรงกับวัตถุประสงค์ และสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว 🔥 หลักสูตรแนะนำ: กฎหมายอสังหาฯ สำหรับนักลงทุน ประเมินมูลค่าอสังหาฯ มือใหม่สู่มือโปร 🔔 สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม? ติดตามบทความดีๆ ด้านอสังหาริมทรัพย์แบบเข้าใจง่าย พร้อมเทคนิคจริงจากผู้พัฒนาโครงการได้ที่ Laksi Estate – ศูนย์รวมความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนรุ่นใหม่   📞 สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการคำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์? ทีมงาน Laksi Estate พร้อมให้คำแนะนำแบบเข้าใจง่าย ทั้งนักลงทุนมือใหม่และมือโปร! 📱 โทรศัพท์: 082-2649929 💬 LINE: @laksiestate 📧 อีเมล: [email protected] 💬 แอดไลน์เพื่อสอบถามเพิ่มเติม

มีปัญหาเรื่องอสังหาฯ คุยกับเรา

สำหรับเจ้าของบ้าน/ที่ดิน

สงสัยเรื่องการตั้งราคา ขาย/เช่า
หรือการโอนมรดก
ไม่ต้องหาคำตอบคนเดียว
มาคุยกับเราได้ฟรี

ปรึกษาฟรี
สำหรับนักลงทุน

อยากรู้ว่าที่ดินหรือโครงการเล็ก ๆ ทำแล้วจะคุ้มไหม? เรามีแนวทาง
การคำนวน ศึกษาวิเคราะห์ ช่วยให้คุณเห็นภาพก่อนลงทุน

ขอคำแนะนำ
สำหรับธุรกิจ/ผู้พัฒนา

ต้องเตรียมข้อมูลเพื่อคุยกับธนาคาร
หรือผู้ถือหุ้น? เราช่วยคุณตรวจสอบและวางแนวทาง
เบื้องต้นได้ก่อนการตัดสินใจได้

คุยกับที่ปรึกษา

“มีแผนจะขาย กู้ หรือโอน? มาลองคุยกันก่อน
‘การประเมินราคา’ จะช่วยให้คุณมองเห็นมูลค่าชัดขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร”

ตั้งราคาให้ถูกต้อง

เจ้าของบ้านหรือที่ดินกำหนดราคาขาย–เช่าได้สมเหตุสมผล ไม่ขายต่ำเกินไปหรือสูงจนขายไม่ออก

ปรึกษาฟรี

นักลงทุนเริ่มประเมินครั้งแรก

1. รู้มูลค่าคร่าว ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ–ขาย
2. เข้าใจว่าประเมินไปเพื่ออะไร ยื่นกู้, ซื้อ-ขาย,
3. เอกสารที่ควรเตรียม เช่น โฉนด, สัญญา

ปรึกษาฟรี

เพิ่มความเชื่อมั่นก่อนการลงทุน

นักลงทุน → ตรวจสอบข้อกฎหมาย, จุดคุ้มทุน, คำนวณผลตอบแทน, ลดความเสี่ยง
ผู้พัฒนา/ธุรกิจ → ใชประกอบการขอสินเชื่อ, นำเสนอผู้ถือหุ้น, เพิ่มความน่าเชื่อถือ

ปรึกษาฟรี

การประเมินราคาคือ...

1. การตรวจสอบเอกสารสิทธิ์และข้อผูกพัน
2. ที่ตั้ง/การเข้าถึง/สาธารณูปโภค
3. ข้อกฎหมายและข้อจำกัด

ปรึกษาฟรี

🎓 Workshop จากประสบการณ์จริง

📊 อยากให้ที่ดินทำเงิน แต่ไม่รู้เริ่มตรงไหน? เราช่วยได้

ไม่ว่าที่ดินจะได้จากมรดก ซื้อมานานแล้ว หรือเพิ่งลงทุนใหม่ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรดี — ขาย ปล่อยเช่า
หรือพัฒนาโครงการ Laksi Estate พร้อมช่วยคุณดูทั้งข้อกฎหมาย ความเป็นไปได้ และความต้องการของตลาด

“มือใหม่อยากลงทุน” (สำหรับคนที่อยากเช็กเบื้องต้น)
สำหรับผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าคุ้มไหม เริ่มจากภาพรวมตลาด กฎหมาย และแนวทางเบื้องต้น

  • เช็กศักยภาพที่ดิน/ทำเล
  • ข้อจำกัดผังเมือง/กฎหมาย
  • แนวทางโครงการที่เป็นไปได้ 2–3 ทาง

บริการ Feasibility เต็มรูปแบบ
Developer/นักลงทุน ต้องการรายงานเชิงลึกสำหรับผู้บริหาร/ธนาคาร

  1. การวิเคราะห์ตลาด (Market Study)
  2. การวิเคราะห์ทำเลและกายภาพ (Site & Location Analysis)
  3. การวิเคราะห์ทางการเงิน (Financial Analysis)
  4. บทสรุปและข้อเสนอแนะ (Conclusion & Recommendation)

ฐานข้อมูลตลาดและโครงการ
Developer/นักลงทุน ต้องการรายงานเชิงลึกสำหรับผู้บริหาร/ธนาคาร(สำหรับคนที่อยากซื้อ Data โดยตรง)

องค์กรบางส่วนที่วางใจเรา

บริษัทชั้นนำกว่า 100 บริษัท เลือกใช้บริการจาก บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์สและ เข้าร่วมอบรมกับโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฯ ด้วยประสบการณ์ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน ประเมินค่าทรัพย์สินและวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์กว่า 40 ปี

เกี่ยวกับเรา

Laksi Estate
คือทีมที่ปรึกษาและผู้ประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำให้อสังหาฯ เป็นเรื่องเข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของบ้าน นักลงทุนมือใหม่ หรือธุรกิจที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก เราพร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างมั่นใจ

วิสัยทัศน์

  • ความรู้ด้านอสังหาฯ ไม่ควรซับซ้อน ทุกคนควรเข้าใจและนำไปใช้ได้จริง
  • ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการอ้างอิงข้อมูลที่น่าเชื่อถือคือหัวใจของงานเรา
  • ลูกค้าคือผู้ตัดสินใจ เราเป็นเพื่อนคู่คิด ไม่ใช่แค่ผู้ขายบริการ

สิ่งที่เราทำ

  • การประเมินราคา: ตั้งแต่การประเมินคร่าว ๆ สำหรับมือใหม่ จนถึงรายงานทางการสำหรับธนาคารและธุรกิจ
  • Feasibility & Market Study: วิเคราะห์ความคุ้มค่าโครงการ ทั้ง Quick Check และ Full Report
  • ฐานข้อมูลตลาดอสังหาฯ: Supply–Demand, ราคา, โครงการเปิดใหม่
  • คลังความรู้ & หลักสูตร: บทความและเวิร์กช็อปที่อธิบายเรื่องอสังหาฯ แบบเข้าใจง่าย